วันที่ 3 พฤษภาคม ปี 1993 ฉากการเฉลิมฉลองที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ที่สุดแสนยิ่งใหญ่ หลังจากที่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชูโทรฟี่แชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรก และเป็นการสิ้นสุดการรอคอย 26 ปีในการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีของ “ปีศาจแดง”
การต้องเงยหน้ามอง ลิเวอร์พูล ครอบครองความยิ่งใหญ่ในวงการลูกหนังอังกฤษช่วงต้นยุค 70-ปลายยุค 80 เป็นสิ่งที่สุดแสนเจ็บปวดของเหล่าสาวก “เร้ด อาร์มี่” แต่แล้วการมาของ “เฟอร์กี้” ทำให้พวกเขาเกิดแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
แม้ความสำเร็จจะไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีเฉกเช่นกรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว แต่สุดท้ายแล้วการรอคอยที่แสนยาวนานเกือบ 3 ทศวรรษก็สิ้นสุด เมื่อทัพ “ผีแดง” ได้เฉลิมฉลองโทรฟี่แชมป์ที่พวกเขาเฝ้าโหยหามาเนิ่นนานที่ “โรงละครแห่งความฝัน”
ไรอัน กิ๊กส์ ซึ่งในเวลานั้นอายุเพียงแค่ 19 ปี ได้พบกับประสบการณ์ในการได้เหรียญแชมป์ลีกครั้งแรกของเขา เปิดใจถึงบรรยากาศในวันปลดแอกว่า “อารมณ์ในตอนนั้นมันปลดปล่อยออกมาเต็มที่เพราะในที่สุดเราก็ทำได้สำเร็จ”
“มันเป็นหนึ่งในวันที่ดีที่สุดตอนที่ขับรถมาที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด คุณมักจะเคยชินกับการขับรถไปที่ส่วนต้อนรับ และผมอยู่ในรถฟอร์ด เอสคอร์ต เม็กซิโก จากนั้นแฟนบอลก็กรูเข้ามาและปีนขึ้นบนรถ มันเป็นค่ำคืนที่น่าเหลือเชื่อ หนึ่งในคืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม”
ขณะเดียวกัน แกรี่ พัลลิสเตอร์ ตำนานกองหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งอยู่ในชุดแชมป์ดังกล่าว ย้อนความหลังในค่ำคืนที่แสนมหัศจรรย์หลังจากที่พวกเขา คว้าแชมป์ลีกต่อหน้า “กุหลาบไฟ” แบล็คเบิร์น โรเวอร์ ว่า “ผมประทับใจที่ได้เป็นแชมป์มากๆ เพราะผมไม่เคยรู้ถึงอารมณ์แบบนี้ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดเลย”
“ร็อบโบ้ (ไบรอัน ร็อบสัน) เคยรู้สึกแบบนี้ตอนที่พวกเขาชนะ บาร์เซโลน่า มันน่าเหลือเชื่อมากๆ มันเต็มไปด้วยอารมณ์ที่พลั่งพรู บรรยากาศแบบงานปาร์ตี้ การปลดปล่อย และความสุขเหลือล้น มีหลากหลายอารมณ์ที่แสดงออกมาของกองเชียร์ตอนที่เราวิ่งฉลองแชมป์กัน”
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องแบกรับความเจ็บปวดในการพลาดแชมป์ดิวิชั่น 1 (ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็นพรีเมียร์ลีก) เมื่อโดย ลีดส์ ยูไนเต็ด ผงาดคว้าแชมป์ โดยหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พวกเขาพลาดแชมป์มาจากเกมที่แพ้ ลิเวอร์พูล 0-2 ส่งผลให้แฟนบอลเริ่มสงสัยแล้วว่าทีมรักจะได้แชมป์ลีกอีกครั้งหรือไม่
“กิ๊กซี่” ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมชาติเวลส์ อยู่กับสโมสรจนกระทั่งแขวนสตั๊ด และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 13 สมัย รวมทั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย กล่าวว่า “ผมรู้ว่ามีแรงกดดันมหาศาล แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเยอะเหมือนกับนักเตะเก๋าๆ อย่าง ร็อบสัน, สตีฟ บรูซ, พัลลิสเตอร์ และ ไบรอัน แม็คแคลร์ ซึ่งอยู่กับสโมสรมายาวนาน และแบกรับแรงกดดันมากมาย”
“คุณสามารถมองเห็นถึงความผิดหวังภายในห้องแต่งตัวที่แอนฟิลดื นั่นมันย่ำแย่สุดๆ เรานำมาตลอดในซีซั่นนั้น แต่เรามีปัญหานักเตะบาดเจ็บ ต้องลงเล่น 5 เกมใน 10 วัน และเราเกิดอาการเหนื่อยล้า ผมรู้สึกถึงแรงกดดันตอนที่เราพลาดแชมป์ ผมรู้ว่านี่มันแย่สุดๆ ตอนที่ผมไปพักผ่อน มีแฟนบอลเดินเข้ามาบอกว่า -เราจะได้แชมป์ลีกหรือเปล่า ?-”
“นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกๆ คนกลับมามุ่งมั่นในฤดูกาลถัดมา และทำให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม” กิ๊กส์ กล่าว
ก่อนที่จะมีการชูโทรฟี่แชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1967 แมนฯ ยูไนเต็ด มีคิวดวลกับ แบล็คเบิร์น และพวกเขาตกเป็นรองตั้งแต่ 8 นาทีแรกจาก เควิน กัลลาเกอร์ จากนั้น กิ๊กส์ ก็โชว์ฟรีคิกเหนือชั้นระยะ 30 หลาตีเสมอให้ทีม ก่อนที่ พอล อินซ์ จะมาซัดให้ทีมขึ้นนำ 2-1 ในช่วงต้นครึ่งหลัง และตบท้ายด้วยฟรีคิกบริเวณกรอบเขตโทษของ พัลลิสเตอร์ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
เซนเตอร์แบ็ก “ผีแดง” ที่ปัจจุบันอายุ 54 ปีแล้ว ย้อนความหลังว่า “ผมรับหน้าที่ยิงฟรีคิกมาก่อนในเกมพบ เพซี่ มุนกัส ในเกมคัพ วินเนอร์ส คัพ รอบแรก มันเบาหวิวก่อนจะไปถึงมือผู้รักษาประตู ! แต่ก่อนเกมกับ แบล็คเบิร์น มันเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการฉลอง และมีป้ายโบกสะบัดเต็มไปหมด”
“ผมเข้าไปในห้องบำบัดเพื่อพันแผลที่ข้อเท้า และ ไบรอัน คิดด์ (ผู้ช่วยโค้ช) เดินเข้ามาบอกว่า -เฮ้ยนาย นายรู้ไหมว่านายเป็นผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ (ไม่นับรวมผู้รักษาประตู) คนเดียวที่ยังยิงประตูไม่ได้ในซีซั่นนี้ ? แม้แต่ พาร์คส์ (พอล พาร์คเกอร์) ยังยิงได้-”
“ผมคิดว่า -นี่มันน่าอายจริงๆ- ผมบอกกับทุกคนช่วงพักครึ่งในห้องแต่งตัวว่า -ถ้าเราได้ฟรีคิก ผมขอยิงนะ- ร็อบโบ้ ถูกเสียบบริเวณกรอบเขตโทษในนาทีที่ 92 และเราได้ฟรีคิก กิ๊กซี่, อินซี่ย์, เอริก คันโตน่า, เดนิส เออร์วิน พวกเขาทุกคนอยากรับหน้าที่นี้ แต่ผมบอกว่า -ไม่ได้ ถอยออกไปเลย นี่เป็นโอกาสเดียวของฉัน-”
“ผมเข้าไปในห้องแต่งตัวเพราะอยากฉลอง แต่ผู้จัดการทีมพูดเสมอว่า -สนุกกับตัวเองให้เต็มที่ แต่จำเอาไว้เราต้องทำแบบนี้ให้ได้อีกครั้ง-”
“มันก็แค่นั้นแหละ เราทุกคนมุ่งมั่นที่จะมองไปถึงการแข่งขันในฤดูกาลต่อไปเสมอ” กิ๊กส์ ระบุ
ความสำเร็จในครั้งนั้นสานต่อยาวนานกว่า 2 ทศวรรษในยุคเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ทายาทคนปัจจุบันต้องพยายามสร้างประสบการณ์แบบนี้กับทัพ “ผีแดง” ยุคใหม่ เพื่อกรุยทางสู่การคืนบัลลังก์เบอร์ 1 วงการลูกหนังอังกฤษ อีกครั้ง !!
อ่านเพิ่มเติม >>> https://www.ufabetwins.com/
คลิกเลย >>> https://www.thehencommandments.com/