การก้าวมาเป็นผู้จัดการทีมชาติไทย ยู 23 และ ชุดใหญ่ ของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นั้นได้สร้างปรากฏการณ์ขึ้นมามากมาย มีความคิดเห็นแตกต่างกันไปว่าการกลับมาใช้ระบบผู้จัดการทีมอีกครั้งนั้นจะเป็นเรื่องดีหรือไม่
โดยเฉพาะเรื่องการเลือกโค้ช เพราะภารกิจของทีมมีทั้ง ศึก ยู 23 ชิงแชมป์เอเชีย 2022 รอบคัดเลือก, ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2021 หรือ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2021 และฟุตบอลเอเชียนคัพ 2023
อย่างไรก็ตามกระบวนการเฟ้นหากุนซือ ได้เริ่มจากทีมอายุไม่เกิน 23 ปีก่อน โดยจัดการแต่งตั้ง “โค้ชโย่ง” วรวุฒิ ศรีมะฆะ นั่งแท่นเทรนเนอร์ใหญ่ ซึ่งเป็นการหวนกลับมาทำทีมอีกครั้ง พร้อมกับได้ “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ มาเป็นผู้ช่วย ซึ่งอาจไม่ได้เป็นไปตามที่คาดคิดกันไว้นัก ถามว่าเหมาะสมหรือไม่กับช้อยส์นี้ที่เลือกมา เรามาหาคำตอบกันได้เลย!!!
1. ความเป็นทีมเวิร์ค
การคัมแบ็คครั้งนี้ของ “โค้ชโย่ง” เขาเองไม่ได้มี “โค้ชโชค” เข้ามาเป็นมือขวาเท่านั้น แต่เปรียบเสมือนการระดมสมองทำงานร่วมกัน เพราะถ้าย้อนไปในซีเกมส์ 2 หนหลังสุดที่ทีมชาติไทย ได้เหรียญทอง ก็เป็นเขาทั้งสองคนนี่แหละที่ทำทีม
เริ่มจากปี 2015 “โค้ชโชค” ต้องรับไม้ต่อจาก “ซิโก้”เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่ติดภารกิจคุมทีมชุดใหญ่ ลุยฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย แต่ขุมกำลังชุดนั้นไม่ธรรมดา นำโดย ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, สารัช อยู่เย็น, ทริสตอง โด ฯลฯ ก่อนสามารถคว้าแชมป์มาได้แบบสบายด้วยผลงานชนะทั้ง 7 นัดที่ลงสนาม และเสียเพียง 1 ประตูเท่านั้นตลอดทัวร์นาเม้นท์
ถัดมาปี 2017 “โค้ชโย่ง” เข้ามารับตำแหน่ง กับตัวหลักๆอย่าง เจนรบ สำเภาดี, ชัยวัฒน์ บุราณ, ศศลักษณ์ ไหประโคน, พิชา อุทรา, นพพล พลคำ, พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล ฯลฯ แม้จะโดนเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับสไตล์การเล่นที่ไม่ค่อยเอ็นเตอร์เทนแฟนบอล แต่ก็สามารถคว้าเหรียญทองสมัยที่ 16 มาครองได้แบบสะใจคนทั้งประเทศ ด้วยการชนะ มาเลเซีย เจ้าภาพในรอบชิงฯ
ขณะเดียวกันทีมงานที่เข้ามาเป็นผู้ช่วย ยังจะมี “โค้ชโม้” พิภพ อ่อนโม้ กุนซือทีมชาติไทย ยู 16 และ “โค้ชก้าง” นฤพล แก่นสน อดีตโค้ชฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย รวมถึง “โค้ชอ่ำ” อัมรินทร์ เยาว์ดำ ที่เข้ามาเป็นโค้ชผู้รักษาประตู ซึ่งทั้งหมดก็เคยผ่านการร่วมงานกับ “โค้ชโย่ง”วรวุธ ศรีมะฆะ มาแล้วทั้งสิ้น
2. ผู้ใหญ่ให้ความเชื่อใจ
ข่าวการกลับมาของทั้ง 2 คน ในแว่บแรก อาจจะมีหลายกระแสที่มองว่า สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และ “มาดามแป้ง”นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีม จะตั้งเข้ามาจริงๆหรือ เพราะก่อนออกจากทีม ยู 23 รวมทั้งสโมสรการท่าเรือ เอฟซี ก็ไม่ใช่จะว่าจบกันสวย
หลัง “โค้ชโย่ง”วรวุธ ศรีมะฆะ พาทีมชาติไทย คว้าเหรียญทอง ปี 2017 ปีต่อมาในศึกเอเชียนเกมส์ 2018 ทีม “ช้างศึก” กำหนดเป้าหมายไว้ว่าต้องผ่านเข้าไปรอบ 4 ทีมสุดท้ายให้ได้ ทำให้เกิดเป็นแรงกดดัน ก่อนที่ทีมจะร่วงตั้งแต่รอบแรก ซึ่ง “โค้ชโย่ง” เองก็ถูกประเมินผลงานว่าต้องออกจากตำแหน่ง
ส่วน “โค้ชโชค” แม้จะพา การท่าเรือ เอฟซี เป็นแชมป์ เอฟเอ คัพ 2019 แต่การตกรอบเพลย์ออฟฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ด้วยการแพ้ เซเรส เนกรอส ทีมจากฟิลิปปินส์ คาบ้าน 0-1 ต่อเนื่องด้วยความพ่ายแพ้ต่อ สิงห์ เชียงรายฯ ในศึกไทยแลนด์ แชมเปียนส์ คัพ 2020 ด้วยสกอร์ 0-2 ทำให้ทีมปลดเขาออก
ก่อนจะมีการออกมาเปิดใจผ่านสื่อถึงอดีตทีมเก่าอย่างรุนแรง ไม่ฟื้นฝอยดีกว่า เอาเป็นว่าก็อย่างที่รู้กัน แต่สุดท้ายในวันแถลงข่าวรับตำแแหน่งผู้จัดการทีมชาติไทย ทาง “มาดามแป้ง” กล่าวชัดเจนว่า เธอไม่เคยมีปัญหากับใครโดยเฉพาะโค้ช ที่สามารถจะเป็น “โค้ชโชค” กลับมาร่วมงานกันก็ได้ และนั่นแหละคือคีย์เวิร์ดที่เป็นกุญแจดึงอดีตลูกน้องเก่ากลับมาลุยด้วยกัน
3. นักเตะต้องการคนมีบารมี
หลังออกจากทีมชาติไทยไป กราฟของ “โค้ชโย่ง”ก็มุ่งหน้าในการเป็นโค้ชให้กับสโมสร โดยอยู่ในแวดวงของไทยลีก 2 มาตลอด เริ่มจาก เกษตรศาสตร์ เอฟซี , เอ็มโอเอฟ ศุลกากร ยูไนเต็ด และ ศรีสะเกษ เอฟซี
แต่ละทีมที่อดีตหัวหอกร่างยักษ์ทีมชาติไทยไปคุมทีม ล้วนแต่มีทรัพยากรนักเตะที่เคยผ่านการติดทีมชาติไทย รวมทั้งผู้เล่นระดับเยาวชนอยู่มากมาย นั่นทำให้เกิดการยอมรับในหมู่พ่อค้าแข้งขึ้นมา
ที่สำคัญทีมชาติไทย ก็ตั้งเป้าที่อยากจะให้กุนซือทีมชาติไทย อายุไม่เกิน 23 ปี มีสัญชาติไทยอยู่แล้ว เพื่อเอาเข้ามาทำหน้าที่ต่อจาก อากิระ นิชิโนะ เทรนเนอร์ชาวญี่ปุ่น ที่คุมชุดนี้กับชุดใหญ่ แต่ว่ามีปัญหาเรื่องของการหาล่ามมาสื่อสาร ซึ่ง “โค้ชโย่ง” และ “โค้ชโชค”
เป็นกุนซือที่ได้ชื่อว่ามีจิตวิทยาในการทำงานนักฟุตบอลวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี “โค้ชโย่ง” เป็นคนตลกแต่ไม่ตลอด มีทั้งพระเดชพระคุณในการบริหารจัดการน้องๆ นักบอลในทีม ขณะที่ “โค้ชโชค” เป็นคนที่อินเนอร์มาเต็ม พร้อมจะปลดปล่อยความรู้สึกร่วมอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะไปพร้อมกับทุกๆ คนในทีม
4. สถิติยอดเยี่ยม
การหวนคืนตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 23 ปี เป็นครั้งที่สอง ของ “โค้ชโย่ง”วรวุธ ศรีมะฆะ ถือว่ามีสถิติที่ดีไม่น้อยเลย เพราะย้อนไปเมื่อเขารับตำแหน่งใหม่ๆ เขาพาทีมชนะได้มากถึง 17 จาก 33 นัด คิดเป็น 51 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว
ซึ่งรายการซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ที่ประเทศมาเลเซีย สร้างผลงานเกมรุกจนทีมยิงได้ 12 ประตู และเสียเพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้นในเกมแรกของรายการ และเป็นการเสียประตูจากลูกจุดโทษ และท้ายที่สุดทีมชุดดังกล่าวก็คว้าเหรียญทองมาได้สำเร็จ หลังในนัดชิงเอาชนะ เจ้าภาพมาเลเซีย 1-0
ขณะที่ “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ ก็เคยเป็นอดีตกุนซือของทีมชาติไทยชุดลุยศึกซีเกมส์ครั้งที่ 28 เมื่อปี 2015 ที่ประเทศสิงคโปร์ และผลงานสุดยอดจริงๆ ด้วยการคุมทีม 7 นัด ชนะ 7 นัดรวด คิดเป็น 100 เปอร์เซนต์เต็มๆ แถมเสียเพียงแค่ 1 ประตูให้กับทีมชาติเวียดนาม ในรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้าย
ต้องยอมรับว่าทีมชาติไทย เมื่อปี 2015 อุดมไปด้วยนักเตะคุณภาพ และทุกคนเล่นด้วยกันมาตั้งแต่ 2013 คว้าแชมป์ซีเกมส์ ต่อเนื่องมาหยิบอันดับ 4 เอเชียน เกมส์ ที่อินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ปี 2014 รวมทั้งเถลิงบัลลังก์แชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งมาก
เมื่อทุกอย่างลงล็อค “โค้ชโย่ง”วรวุธ ศรีมะฆะ จึงถูกเลือกให้กลับมา พร้อมกับ “โค้ชโชค” เพราะด้วยบารมี ประสบการณ์ รวมทั้งการปลุกเร้าให้มีความกระหายในการเล่นทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อทีมชาติไทย ให้กับรุ่นน้องทุกคน เคมีนี้ถือว่าลงล็อคเหนือกว่าที่หลายคนคาดคิดกันไว้จริงๆ
คลิกเลย >>> UFABETWINS
อ่านเพิ่มเติม >>> บ้านผลบอล