UFABETWINS กีฬา กับ ธุรกิจ ปัจจุบันทั้งสองสิ่งเข้ามาผนวกกันในโลกกีฬาจนแยกไม่ออก ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเม็ดเงินมีส่วนช่วยทำให้เกมการแข่งขันเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ช่วยให้กีฬาเดินหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนกีฬาให้กลายเป็นธุรกิจ มีผลเสียอยู่หลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของแฟนกีฬาที่ไม่ได้มีอิทธิพลต่อทีมเหมือนในอดีต ความผูกพันกับท้องถิ่นที่หายไป รวมถึงการผูกขาดผลประโยชน์ในธุรกิจกีฬา ที่เห็นได้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาความขัดแย้งว่ากีฬา ควรเป็นธุรกิจ หรือเป็นแค่ทีมกีฬาเพื่อคนท้องถิ่น เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือสหรัฐอเมริกา เพราะในช่วงกลางยุค 70s
มีทีมเบสบอลอิสระทีมหนึ่ง ที่ก่อตั้งขึ้นมา เพื่อท้าทายความคิดที่ว่ากีฬาควรเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางธุรกิจ เพราะพวกเขาเชื่อว่า “ทีมกีฬา” ควรมีไว้เพื่อสร้างความสุขให้กับคนในท้องถิ่น และทำในสิ่งที่ทีมอยากจะทำ เรากำลังพูดถึงทีมเบสบอลที่ชื่อ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ ทีมเบสบอลอิสระที่มีอายุเพียงแค่ 5 ปี แต่เรื่องราวของพวกเขา ยังคงเป็นที่จดจำในโลกเบสบอลจนถึงทุกวันนี้ จากชายที่ชื่อ บิง รัสเซล เรื่องราวของทีม พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์
เริ่มต้นจากผู้ชายที่ชื่อ บิง รัสเซล (ชื่อจริง นีล รัสเซล) ที่ชีวิตในวัยเด็กเติบโตมากับกีฬาเบสบอล เพราะพ่อของเขาเป็นเพื่อนสนิทกับ เลฟตี โกเมซ พิชเชอร์หรือมือขว้างระดับซูเปอร์สตาร์ของทีม นิวยอร์ก แยงกีส์ ความบ้าคลั่งในกีฬาเบสบอลของบิง ได้เป็นที่รับรู้ถึงโกเมซ ทำให้เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมแยงกีส์ ที่ในช่วงยุค 1930s คือแฟรนไชส์ที่โด่งดังที่สุดในสหรัฐอเมริกา ชีวิตของบิงในวัยเยาว์ ถูกล้อมรอบด้วยผู้เล่นเบสบอลระดับโลก
และพวกเขามีความสนิทสนมกับบิงเป็นอย่างมาก ชนิดที่เรียกว่า ชีวิตในวัยเด็กของบิง คือชีวิตที่เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ใฝ่ฝัน กับการได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมเบสบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก บิงรับบทเป็นเด็กถือไม้ให้กับทีมแยงกีส์ เดินทางไปกับทีมทุกที่ ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลแค่ไหน ตลอดระยะเวลา 8 ปี กับแฟรนไชส์เบสบอลอันดับหนึ่งของโลก ก่อให้เกิดรักแท้ ระหว่างเบสบอล กับ บิง รัสเซล ความฝันเดียวในชีวิตของบิง คือ การเป็นนักเบสบอลอาชีพ
ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะตามฝัน เพราะในช่วงยุค 30s และ 40s เบสบอลคือกีฬาอันดับ 1 ของประเทศสหรัฐอเมริกา มีทีมอิสระเกิดขึ้นมากมาย เล่นในลีกระดับล่าง หรือที่เรียกว่า “ไมเนอร์ ลีก” บิงกลายเป็นนักเบสบอลให้กับทีมอิสระ แต่ความฝันของเขายุติลงอย่างรวดเร็ว หลังได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ จนเขาต้องยอมแพ้ให้กับอาชีพในฝัน และเก็บข้าวของไปยังฮอลลีวูด เพื่อเสี่ยงโชคหางานทำในฐานะนักแสดง “เขาได้เป็นนักแสดงสายเบ๊ ซึ่งนี่ผมพูดในแง่ดีนะ
เขาทำงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ่ายละครโทรทัศน์ไป 800 ตอน โดนฆ่าตายไป 123 ครั้ง เขาทำงานหนักจริง ๆ” เคิร์ท รัสเซล นักแสดงชื่อดัง ลูกชายของ บิง รัสเซล กล่าวถึงชีวิตการทำงานของพ่อตัวเอง แม้ว่า บิง รัสเซล จะไปได้สวย กับบทบาทนักแสดงสมทบ จนถือได้ว่าพอจะเป็นที่รู้จักอยู่บ้าง แต่การเป็นนักแสดง เป็นเพียงแค่งานสำหรับเขา เพราะสิ่งที่ผู้ชายคนนี้รัก มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือเบสบอล “ผมตื่นเต้นกับเบสบอล มากกว่างานบันเทิงเยอะ
เพราะทุกครั้งที่คุณตีลูกเบสบอล ความรู้สึกจะแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ตอนที่วิ่งไปรอบเบส ความรู้สึกเหมือนกับตอนคุณแสดงจบ การแสดงเป็นเรื่องของคนเพียงคนเดียว แต่เบสบอลคุณต้องมีคนอย่างน้อย 18 คน กับ 18 ความคิด และไม้ กับลูกบอล” “สนามเบสบอลคือสถานที่ ที่บ้าคลั่งอย่างที่สุด มีเหตุการณ์บ้าคลั่งมากมายเกิดขึ้นในนี้” บิง รัสเซล กล่าว บิง รัสเซล บ้าเบสบอลชนิดที่เรียกว่า เขาปรับพื้นที่หลังบ้านของเขา ให้เป็นสนามเบสบอลขนาดย่อม
รวมถึงทำห้องนั่งเล่นให้เป็นที่ฝึกรับลูกเบสบอล เพื่อฝึกลูกชายอย่าง เคิร์ท รัสเซล ให้เป็นนักเบสบอล ไม่เพียงเท่านั้น บิง รัสเซล ยังทำหนังสั้นเรื่อง Action Baseball นำแสดงโดย เคิร์ท รัสเซล ในวัยเด็ก ซึ่งเป็นภาพยนตร์สอนการเล่นเบสบอลอย่างถูกวิธี ชนิดที่เรียกว่าโค้ชใน เมเจอร์ลีก เบสบอล หรือ MLB ต้องนำหนังเรื่องนี้ไปเปิดให้ความรู้กับนักเบสบอล เพราะความรู้บางเรื่อง นักเบสบอลอาชีพก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่ บิง รัสเซล กลับรู้ แสดงถึงความบ้าคลั่งในกีฬาเบสบอล
ของผู้ชายคนนี้ได้เป็นอย่างดี กำเนิด พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ ช่วงเวลาเดียวกันกับที่ บิง รัสเซล ทำงานหาเลี้ยงชีพในฐานะนักแสดง โลกเบสบอลได้เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ จากในอดีตที่ทีมเบสบอลในไมเนอร์ลีกส่วนใหญ่ จะเป็นทีมอิสระ ก็ค่อย ๆ ถูกทีมในเมเจอร์ลีก เบสบอล เข้าครอบครอง เนื่องจากทีมจากลีกใหญ่ ต้องการใช้ลีกรอง เป็นลีกพัฒนาฝีมือของผู้เล่น ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี เพราะทีมใน MLB สามารถนำผู้เล่นหน้าใหม่มาฝึกฝีมือและประสบการณ์ในไมเนอร์ลีก
โดยไม่ต้องเสี่ยงนำผู้เล่นเหล่านี้ ไปโชว์หมูหกกับทีมใหญ่ ส่งผลเสียต่อการเล่นของทีม ไมเนอร์ลีก แปรเปลี่ยนจากลีกรอง เป็นแค่ลีกของตัวสำรอง ที่แม้จะส่งผลดีมากมาย กับทีมในลีก MLB แต่ทีมในลีกรองเหล่านี้ กลับสูญเสียฐานแฟนคลับ เพราะไม่มีใครอยากเสียเงินค่าตั๋ว มาดูผู้เล่นที่แวะมา และพอเล่นดีก็จากไป ขณะที่ทีมก็ไร้ซึ่งจิตวิญญาณการเล่นเพื่อความสำเร็จ เพราะเป้าหมายสูงสุดของทีม คือการเป็นสถานที่พัฒนาผู้เล่น ไม่ใช่การคว้าแชมป์
เพื่อสร้างความภาคภูมิใจ ให้กับแฟน และท้องถิ่น หนึ่งในทีมที่ได้รับผลกระทบ จากการเป็นทีมสำรองให้กับทีมเบสบอลยักษ์ใหญ่ คือ พอร์ทแลนด์ บีเวอร์ส ทีมเบสบอลประจำเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐโอเรกอน ที่สูญเสียแฟนคลับ เปลี่ยนสนามกีฬา ให้กลายเป็นพื้นที่โล่งไร้คนดู และไม่มีใครในเมืองสนใจทีมกีฬาทีมนี้ จนกระทั่งแฟรนไชส์แห่งนี้ ตัดสินใจทิ้งเมืองไปในปี 1973 หลังจากผู้บริหารของทีม (ซึ่งเป็นผู้บริหารของทีมใน MLB อีกที) มองเห็นว่า
“ไม่มีอนาคตสำหรับเบสบอล ในเมืองพอร์ตแลนด์” “นี่คือปัญหาของไมเนอร์ลีก ผู้บริหารสามารถย้ายทีมไปเมืองไหนก็ได้ คุณไม่รู้เลยว่าทีมแข่งวันนี้ ผู้เล่นคนไหนจะมาเล่นให้คุณบ้าง แฟนบอลไม่รู้จักผู้เล่นในทีมเลย พอผู้เล่นคนไหนเล่นดี ก็ย้ายออกไป นี่คือหายนะของทีมประจำเมือง” เคิร์ท รัสเซล ชายที่รักกีฬาเบสบอลไม่แพ้พ่อของเขา กล่าว ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น บิง รัสเซล กำลังถึงช่วงขาลงกับอาชีพนักแสดง และเขาก็หมดไฟกับการทำงานในฮอลลีวูด
สิ่งเดียวที่ทำให้เขามีชีวิตชีวา คือเบสบอล และเขาเล็งเห็นว่า เมืองพอร์ทแลนด์มีบางสิ่งบางอย่างที่น่าสนุกสนานรอเขาอยู่ “พ่อของผมเติบโตในยุคที่เต็มไปด้วยทีมเบสบอลอิสระ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับทีมในลีกใหญ่ พวกเขาอยู่ด้วยตัวเอง มีเจ้าของเป็นคนที่อยู่ในเมือง นั่นคือสิ่งที่เบสบอลควรจะเป็น” “แต่พอมาอยู่ในยุค 70s กลับไม่เหลือทีมเบสบอลอิสระในไมเนอร์ลีก แม้แต่ทีมเดียว ทุกทีมโดนถือครองโดยทีมจากลีกใหญ่” เคิร์ต รัสเซล กล่าว ความไม่พอใจ ต่อโลก
เบสบอลที่เปลี่ยนไป ทำให้ บิง รัสเซล ก่อตั้งทีม พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ ขึ้นมา ในปี 1973 เพื่อทดแทนการจากไปของ พอร์ทแลนด์ บีเวอร์ส และทำให้แมฟเวริคส์ เป็นทีมเบสบอลอิสระเพียงทีมเดียว ในไมเนอร์ลีกเบสบอล “บิงบอกกับผมชัดเจนว่า เขาต้องการทำทีมเบสบอลอิสระ นั่นหมายว่า เขาต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เขาหาแมวมอง ผู้เล่น ทีมงาน ทุกอย่างด้วยตัวเอง และคุณต้องจ่ายเงินค่าจ้างเอง ไม่มีทีมไหนมาจ่ายให้” บ็อบ ริชมอนด์ ประธานลีกตะวันตก
เฉียงเหนือ ของไมเนอร์ลีก ระดับ A ในช่วงเวลานั้นกล่าวถึงความยากของการทำทีมอิสระ แม้จะไม่ใช่งานง่าย แต่ด้วยใจรักของบิง รัสเซล ทำให้เขาสร้างทีม พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ ในแบบที่เขาอยากให้เป็น ด้วยการดึงเจ้าของร้านอาหาร มาเป็นผู้บริหารทีม และมีผู้จัดการทีมเป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทีมเบสบอลในระดับไมเนอร์ลีก มีผู้จัดการทีมเป็นเพศหญิง ส่วนวิธีการหาผู้เล่นเข้าสู่ทีม แมฟเวริคส์ใช้วิธีประกาศรับสมัครผ่านทางหนังสือพิมพ์
แน่นอนว่าวิธีของเขาสร้างความขบขันในวงการเบสบอลอย่างมาก เพราะไม่มีใครเชื่อว่า แมฟเวริคส์จะสามารถหานักเบสบอลฝีมือดี ได้ผ่านการประกาศรับสมัครงานในหนังสือพิมพ์ แม้จะดูน่าตลก แต่เมื่อถึงวันประกาศคัดตัวจริง มีนักเบสบอลกว่า 300 คน เดินทางมาร่วมทดสอบฝีมือ หลายคนเดินทางข้ามประเทศ เพื่อตามหาโอกาส ที่จะได้เล่นกีฬาที่พวกเขารักอีกครั้ง นักกีฬาของทีมแมฟเวริคส์ เต็มไปด้วยคนที่ดูแปลก และแตกต่างจากทีมเบสบอลทีมอื่น
ไม่ว่าจะเป็นคุณครูในโรงเรียนระดับมัธยม, นักเบสบอลที่เดินทางมาจากประเทศแอฟริกาใต้, แคชเชอร์ หรือมือรับลูกที่ใช้มือซ้าย (กีฬาเบสบอลในเวลานั้นไม่ใช้แคชเชอร์มือซ้าย) รวมถึง เคิร์ท รัสเซล ลูกชายของเขา ที่ตัดสินใจไม่เอาดีกับการเป็นนักแสดง และหันมาเล่นเบสบอลอาชีพแทน (ภายหลังเคิร์ทได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถเล่นเบสบอลต่อไปได้ จึงกลับไปเป็นนักแสดงอีกครั้ง) นอกจากนี้ยังมีนักเบสบอลอายุระดับ 30 ปีขึ้นไปอีกจำนวนมาก ที่ได้เป็นนักกีฬาของ
พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ ซึ่งพวกเขาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นอกจากทีมเบสบอลทีมนี้ ก็ไม่มีทีมไหนเปิดโอกาสให้พวกเขาได้เล่นเบสบอลอีกแล้ว แม้จะดูเหมือนทีมรวมตัวห่วย แต่เมื่อฤดูกาล 1973 ของลีกตะวันตกเฉียงเหนือ กับการแข่งขันไมเนอร์ลีกระดับ A เปิดฉากขึ้น
ทีมเบสบอลอิสระทีมนี้ กลับไล่ต้อนทีมสำรองของทีมยักษ์ใหญ่จนหมดสภาพครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ ไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริหารทีมยักษ์ใหญ่ในลีก MLB เพราะทีมเบสบอลเล็ก ๆ ทีมนี้ กำลังทำให้เด็กอนาคตไกลของพวกเขาเสียราคา
คลิ๊กเลย >>> UFABETWINS
อ่านข่าวเพิ่ม >>> บ้านผลบอล